วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ขนมสัมปันนี...ขนมแห่งความคิดถึง

ขนมสัมปันนี...ขนมแห่งความคิดถึง

ขนมสัมปันนี...ขนมแห่งความคิดถึง
เป็นที่รู้โดยทั่วกันว่า ในสมัยพระนารายณ์ มหาราช นั้น มีหญิงชาว โปรตุเกส ผู้หนึ่ง ที่มีบทบาทในเรื่องของ การทำขนมไทยเป็นอย่างมาก นั่นก็คือ ท้าวทองกีบม้า ภรรยาของเจ้าพระยาวิชเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) ที่ได้รับการยกย่อง ให้เป็นราชินีแห่งขนมไทย ท่านได้สร้างสรรค์ผลงานมากมายทิ้งไว้ให้แก่ชนรุ่นหลัง ซึ่งหนึ่งในนั้น ก็มีเมนู ขนมไทยโบราณ นามว่า ขนมสัมปันนี รวมอยู่ด้วย เพื่อเป็นการอนุรักษ์ขนมไทยไม่ให้หายไป พวกเราไปทำความรู้จักกับ ขนมสัมปันนี ด้วยกันนะ
ขนมสัมปันนี หรือ ขนมสัมปะนี เป็นขนมที่ทำจาก แป้งมันคั่ว แล้วนวดผสมกับน้ำกะทิ และ น้ำตาลทราย เนื้อขนมจะจะละลายในปากมีรสหวานและ หอมกลิ่นควันเทียนอบขนม กรอบนอกนุ่มใน รูปร่างคล้ายดอกไม้มีสีสันสวยงาม ปัจจุบันมี ขนมสัมปันนีมี 2 แบบ คือแบบแห้งและแบบเปียก แบบแห้งจะใช้แป้งมันสำปะหลัง นำไปคั่วให้สุกก่อนนำมาทำขนม ส่วนแบบเปียก จะใช้แป้งข้าวเจ้าที่ไม่ต้องคั่ว
ขนมสัมปันนี ถือได้ว่าเป็นขนมที่มีประวัติอันยาวนาน และ เป็นขนมมงคล นิยมใช้ในพิธีแต่งงาน ต้นกำเนิดมาพร้อมกับขนมตระกูลทองทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ตั้งแต่สมัย อยุธยา ในรัชสมัยของ สมเด็จพระนารายณ์ มหาราช ในปี 2662 หลักฐานทางประวัติศาสตร์ของต้นกำเนิดขนมสัมปันนี ได้ปรากฏในบันทึกของ อเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน ชาวตะวันตกอีกผู้หนึ่งที่บันทึกการเดินทางเกี่ยวกับเรื่องของ ท้าวทองกีบม้า ว่า
“ข้าพเจ้าได้เห็นท่านผู้หญิงของฟอลคอนในปี พ.ศ.2262 เวลานี้ท่านได้รับเกียรติเป็นต้นห้องเครื่องหวานของพระเจ้าแผ่นดิน ท่านเกิดในกรุงสยามในตระกุลอันมีเกียรติ และในเวลานั้นท่านเป็นที่ยกย่องนับถือแก่คนทั่วไป...
ท่านท้าวทองกีบม้าผู้นี้ เป็นต้นการสั่งสอนให้ชาวสยามทำของหวาน คือ ขนมทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมทองโปร่ง ทองพลุ ขนมผิง ขนมฝรั่ง ขนมผิง ขนมไข่เต่า ขนมทองม้วน ขนมสัมปันนี ขนมหม้อแกง เป็นต้นเหตุเดิมที่ท้าวทองกีบม้าทำและสอนให้ชาวสยาม ”
จะเห็นได้จากในข้อความนี้ ว่ามีชื่อของ ขนมสัมปันนี อยู่ด้วย นอกจากนี้ ขนมสัมปันนี ยังมีความหมายว่า “อันเป็นที่รัก” อีกด้วย เพราะผู้ที่ทานเข้าไป จะรู้สึกถึงกลิ่นหอม และ ความหวาน ที่ละลาย อย่างช้าๆภายในปาก แสดงถึงความคิดรัก ความคิดถึง และ ห่วงใย สมัยก่อน ฝ่ายผู้หญิง จะทำอาไว้ให้แก่ฝ่ายชาย ยามที่ต้องออกไปรบเพื่อปกป้องบ้านเมือง เอาไว้กินระหว่างทาง ให้หายคิดถึง





ที่มา : fifa6886


วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ขนมดอกบัว...ขนมสิริมงคล

ขนมดอกบัว...ขนมสิริมงคล

 

ขนมดอกบัว...ขนมสิริมงคล
เมื่อได้ยินครั้งแรกก็รู้สึกแปลกใจ กับ คำว่า “ขนมดอกบัว” บอกตามตรงค่ะ ว่านึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าหน้าตา รูปร่าง เป็นอย่างไร เรียกว่าแทบจะไม่รู้จักเสียด้วยซ้ำ ในใจก็คิดว่า เป็นขนมที่มีส่วนผสมของดอกบัวหรืออย่างไร
ขนมดอกบัว หรือ ขนมฝักบัว เป็นขนมโบราณ มีลักษณะ เป็นแผ่นกลม รูปร่างคล้ายฝักบัว แป้งนุ่ม ขอบขนมหยักอย่างสม่ำเสมอโดยรอบ และ กระดกขึ้นมา ตรงกลางนูน และ นุ่ม รสชาติหวาน ด้านล่างของขนมเป็นใย เหมือนสายบัว เมื่อฉีกขนมออก ภายในจะเป็นโพรงจากก้นมาถึงด้านหน้ามีลักษณะเช่นเดียวกับฝักบัวจริงๆ สูตรดั้งเดิม จะใช้ แป้งข้าวเจ้า น้ำตาลปี๊บ หรือ น้ำตาลมะพร้าว และ กะทิ ปัจจุบันมีการดัดแปลงโดยใส่น้ำใบเตยแทนน้ำเปล่า ทำให้เป็นสีเขียว สวย น่ารับประทาน
ดั้งเดิมเป็นขนมพื้นเมืองโบราณของคนปักษ์ใต้ โดยดัดแปลงมาจาก การทำขนมในเทศกาลเดือนสิบ ที่ชื่อว่าขนมรังนก คนปักษ์ใต้ จะเรียกขนมฝักบัวว่า ขนมจูจุ่น หรือ จู้จุ่น ส่วนเด็กๆ มักจะเรียกว่า ดือจุ่น หรือ สะดือจุ่น เพราะลักษณะขนมที่พองตรงกลาง เหมือนสะดือจุ่น นั่นเองค่ะ ขนมชนิดนี้นับเป็นขนมที่เกิดจากภูมิปัญญาชาวบ้าน ของบรรพบุรุษของเรา ซึ่งในปัจจุบันก็หาทานได้ยากซะแล้วค่ะ นิยมใช้ในเทศกาลทำบุญ พิธีแต่งงาน และ งานพิธีต่างๆ เนื่องจาก ขนมฝักบัว มีความหมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง ความก้าวหน้า และโชคลาภ




ที่มา : fifa6886

กระยาสารท...ขนมไทยแด่ผู้ล่วงลับ

กระยาสารท...ขนมไทยแด่ผู้ล่วงลับ

กระยาสารท...ขนมไทยแด่ผู้ล่วงลับ
ตั้งแต่เด็ก พวกเราทุกคนน่าจะเคยได้ยินคำว่า เทศกาลกระยาสารท หรือ ขนมกระยาสารท แต่ก็ไม่เคยรู้ที่มาที่ไปจริงๆเสียทีว่า ขนมชนิดนี้คืออะไร รู้เพียงแต่เป็นขนมที่มีความหวาน และ เหนียว ทานเพลินดี แต่แค่การทานอร่อยคงไม่เพียงพอ เพราะถ้าเราเรียนรู้เรื่องราวของเขา เราจะเข้าใจวัฒนธรรมของประเทศเรา ว่าต้องผ่านเหตุการณ์อะไรมาบ้าง ถือเป็นการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ และ วิถีชีวิต ของคนสมัยก่อน ผ่านทางอาหารนั่นเอง
กระยาสารท เป็นขนมไทยโบราณ ทำจาก ถั่ว งา ข้าวคั่ว และ น้ำตาล บางท้องถิ่นนิยมทานกับกล้วยไข่ ขนมชนิดนี้จะทำขึ้นในวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 ถือได้ว่าเป็นขนมที่มี วัน เวลา และ เทศกาล เป็นของตัวเอง
กระยาสารท เป็นขนมโบราณตั้งแต่สมัยสุโขทัย รากศัพท์ของคำว่า “สารท” มาจากภาษาอินเดีย แปลว่า “ฤดูใบไม้ร่วง” หรือ ช่วงปลายฝนต้นหนาว เป็นเวลาเดียวกับช่วงที่พืชพันธุ์ ผลิดอกออกผล คนโบราณจึงถือกันว่า ควรนำผลผลิตเหล่านั้นถวายแก่เทวดา และ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเป็นการสักการะบูชา และ ขอพรให้พืชของตนออกดอกออกผลดี
ประเพณีนี้เกิดในแถบประเทศจีน และ ยุโรปตอนเหนือ เช่นเดียวกัน ส่วนประเทศไทย ได้รับอิทธิพลมาจากประเพณีของประเทศอินเดีย เป็นช่วงเวลาที่ข้าวเริ่มออกรวง ชาวบ้านจึงเก็บเปลือกอ่อนๆ และ เมล็ดยังไม่แก่ นำมาคั่วและตำให้เมล็ดข้าวแบนๆ และเรียกว่า ข้าวเม่าแทน
ตำนานความเชื่อของกระยาสารทมีอยู่ด้วยกัน 2 ตำรา คือ ...
ตำราหนึ่งกล่าวว่า มีพี่น้องอยู่สองคนชื่อ มหากาลผู้พี่ และจุลกาลผู้น้อง ทั้งสองทำการเกษตรกรรมร่วมกันคือ ปลูกข้าวสาลีบนที่ผืนเดียวกัน จุลกาลนั้นเห็นว่าข้าวสาลีที่กำลังท้องนั้นมีรสหวานอร่อย ก็เลยอยากนำข้าวนั้นไปถวายแด่พระสงฆ์ จึงปรึกษากับมหากาลพี่ชาย แต่มหากาลไม่เห็นด้วย มหากาลจึงแบ่งที่ดินออกเป็น 2 ส่วน เพื่อให้ต่างคนต่างนำข้าวไปใช้กิจอันใดก็ได้ จุลกาลจึงนำเมล็ดข้าวที่กำลังตั้งท้องมาผ่า แล้วต้มกับน้ำนมสด ใส่เนยใส น้ำผึ้ง น้ำตาลทรายกรวด เมื่อเสร็จแล้วจึงนำไปถวายแด่พระสงฆ์ เมื่อถวายภัตตาหารเหล่านี้แด่พระสงฆ์ จุลกาลได้ทูลความปราถนาของตนกับพระพุทธเจ้าว่า ขอให้ตนบรรลุธรรมวิเศษก่อนใคร และเมื่อกลับบ้านไป ก็พบว่านาข้าวสาลีของตนนั้นออกรวงอุดมสมบูรณ์สวยงาม จนเก็บเกี่ยวไป 9 ครั้งก็ยังอุดมสมบูรณ์อยู่อย่างนั้นตลอดไป
ส่วนอีกตำราหนึ่งเล่าว่า สมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยู่ในกรุงราชคฤห์ มีเปรตตนหนึ่งปลอมตัวเป็นพระสงฆ์เข้าเฝ้าพระเจ้าอชาตศัตรู เปรตตนนั้นได้เผยความจริงว่า ตนเคยเป็นพระสงฆ์แต่มีความโลภจึงต้องชดใช้กรรมเป็นเปรต แล้วเปรตตนนั้นก็ขอให้พระองค์พระราชทานกระยาสารท ซึ่งปรุงแต่งด้วยของ 7 อย่าง ได้แก่ น้ำตาล น้ำผึ้ง ถั่ว งา ข้าวตอก ข้าวเม่า น้ำนมวัว เพื่อประทังความหิวโหย ดังนั้นในวันรุ่งขึ้นตรงซึ่งกับวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 พระเจ้าอชาตศัตรูจึงทำขนมกระยาสารทแล้วกรวดน้ำอุทิศให้แก่เปรตตามที่ขอไว้ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเมื่อถึงวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 ซึ่งตรงกับเดือนกันยายน ชาวบ้านจะกวนกระยาสารทมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว จนกลายเป็นประเพณีสารทไทย หรือเทศกาลกวนขนมกระยาสารทจนถึงทุกวันนี้นั่นเอง





ที่มา : fifa6886


Nut roll… ขนมแดนยุโรป

Nut roll… ขนมแดนยุโรป

Nut roll… ขนมแดนยุโรป
หากใครที่เป็นคนที่ชอบท่องเที่ยวเดินทางไปทั่วโลกแล้วล่ะก็ เห็นทีจะไม่สนใจเมนูนี้ไม่ได้แล้ว นั่นก็เพราะว่า เมนูที่เรา จะมาแนะนำให้เพื่อนๆได้รู้จักกันในวันนี้ เป็นที่แพร่หลายกันมากในแถบทวีปยุโรป และ อเมริกา ถ้าเพื่อนๆไปเที่ยวแล้วไม่รู้จักขนมชนิดนี้ ก็คงจะไม่ดีใช่ไหมละ ดังนั้น วันนี้เราไปทำความรู้จักกับ Nut roll…ขนมแดนยุโรป กันดีกว่า
Nut roll หรือ ถั่วม้วน เป็นขนมปังที่สามารถหาทานได้ใน ประเทศสหรัฐอเมริกา ยุโรปตอนกลาง และ ยุโรปตะวันออก มีส่วนประกอบด้วย แป้งยีสต์หวาน (ปกติจะใช้นม) และ รีดแป้งแผ่ออกมาให้บาง ทาด้วยถั่วที่ทำจากถั่วบด และ สารให้ความหวาน เช่น น้ำผึ้ง ปั้นเป็นรูปทรงขอนไม้ยาว อบแล้วหั่นเป็นชิ้นๆ
Nut roll มีความคล้ายกับ jelly roll หรือ Swiss roll แต่ Nut roll จะมีปริมาณเนื้อแป้ง และ ไส้ที่มากกว่า ส่วนเนื้อแป้งมีความละเอียดน้อยกว่า ไส้จะทำจาก วอลนัท และ งาดำ เป็นหลัก
ขนมปัง nut roll เป็นที่รู้จักกันดีในหลายภูมิภาค และ มีชื่อแตกต่างกันออกไป เช่น
- ชาวสโลเวเนีย เรียกว่า gubana guban'ca หรือ potica
- ประเทศ สโลวาเกีย เรียกว่า orechovník
- ประเทศ โปแลนด์ เรียกว่า makowiec
- ประเทศ โครเอเชีย และ เซอร์เบีย เรียกว่า povitica, gibanica, orahnjača/orehnjača
- ประเทศ ฮังการี เรียกว่า kalács และ bejgli
- ประเทศ ตุรกี เรียกว่า pastiç (pastiche) หรือ nokul
ความสำคัญของขนมปังชนิดนี้อยู่ที่ ในทุกๆเทศกาลสำคัญ เช่น งานแต่งงาน เทศกาลอีสเตอร์ เทศเทศกาลคริสต์มาส และ งานเฉลิมฉลองวันหยุดต่างๆ Nut roll จะต้องเป็นส่วนหนึ่งของงานเสมอ




ที่มา : fifa6886


Dadar gulung…แพนเค้กอินโด

Dadar gulung…แพนเค้กอินโด




Dadar gulung…แพนเค้กอินโด
Dadar gulung เป็นขนมชนิดหนึ่งคล้ายแพนเค้ก นำมาม้วนใส่ไส้มะพร้าว หอม หวานด้วย กลิ่นใบเตยอ่อนๆ สีเขียวสวยน่ารับประทาน เป็นขนมที่นิยมมากที่สุดในประเทศอินโดนีเซีย โดยเฉพาะ Java
Dadar ในภาษาอินโดนีเซีย แปลว่า แพนเค้ก และ gulung แปลว่า ม้วน ขนมชนิดนี้มักเป็นแพนเค้กสีเขียว ซึ่งทำมาจากใบเตย (Pandan) เป็นพืชตระกูลหญ้าเขตร้อนที่มีใบสีเขียวยาว ซึ่งสามารถพบได้ทั่วประเทศอินโดนีเซีย มีกลิ่นหอมมากและมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ สามารถนำไปใช้กับขนมหวาน ขนมเค้ก และ เครื่องดื่มมากมาย ในอินโดนีเซีย หรือ สามารถซื้อได้ในร้านสะดวกซื้อ บางครั้ง นอกจากนำใบเตยมาทำอาหารและขนมแล้ว ยังนำมาคั้นและผสมน้ำเปล่า เพื่อนำไประบายสีได้อีกด้วย
ในประเทศมาเลเซีย และ บรูไน จะรู้จัก และ เรียก Dadar gulung ว่า kuih gulung, kuih ketayap และ kuih lenggang ประเทศศรีลังกา เรียกว่า surul appam และ ประเทศสิงคโปร์ เรียกว่า kuih dadar เห็นไหมละคะว่า นอกจากจะโด่งดังในบ้านเกิดตัวเองแล้ว ยังได้รับความนิยมจากประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย ถ้าใครไปประเทศไหน ก็อย่าลืมเรียกให้ถูกด้วย




ที่มา : fifa6886

เค้ก

เค้ก

เค้ก
เป็นอาหารชนิดหนึ่งที่มักจะมีลักษณะหวานและผ่านกระบวนการอบ ซึ่งจะทำมาจากแป้งสาลี, น้ำตาลเทียม และส่วนประกอบอื่น ๆ เช่น ไข่, แป้งสาลี, ผัก, ผลไม้ที่ให้รสหวานหรือเปรี้ยว เป็นต้น หรือส่วนประกอบที่มีไขมัน เช่น เนย, ชีส, ยีสต์, นม, เนยเทียม เป็นต้น และนิยมรับประทานเป็นของหวาน และฉลองในเทศกาลต่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันเกิดและวันแต่งงาน ซึ่งในโลกมีตำรับหรือสูตรการทำเค้กเป็นจำนวนมาก อีกทั้งตำรับการทำเค้กบางสูตรก็มีการสืบทอดการทำเป็นเวลาหลายศตวรรษ และเค้กนั้นยังเป็นอาหารหวานที่นิยมไปทั่วโลกอีกด้วย ปัจจุบันมีผู้สนใจที่อยากจะเรียนทำเค้กเพื่อจุดประสงค์ต่าง ๆ มากมาย อย่างเช่น เรียนเพื่อที่จะนำมาประกอบอาชีพเปิดร้านเค้ก เป็นต้น
ชนิดของเค้ก
เค้กแบ่งได้เป็นหลายประเภท ดังนี้
1. เค้กเนย (butter cake) ส่วนผสมหลักที่ทำให้ขึ้นฟูคือเนย โดยจะตีเนยกับน้ำตาลให้เป็นครีมฟูก่อน จึงเติมไข่ นม และแป้ง แบ่งย่อยได้อีกหลายชนิด เช่น เค้กชั้น ฟรุตเค้ก และเค้กปอนด์ ซึ่งหมายถึง เค้กที่ทำจากแป้งสาลีหนึ่งปอนด์ น้ำตาลหนึ่งปอนด์และ เนยหนึ่งปอนด์
2. เค้กไข่ (foam cake) เป็นเค้กที่ขึ้นฟูโดยตีฟองอากาศเข้าไปในไข่ แบ่งย่อยเป็น 3 ชนิดคือ
3. ชิฟฟอนเค้ก (chiffon cake) ชิฟฟอนเค้ก หรือ ชีฟองเค้ก ปัจจุบันเป็นที่นิยมกันมากในกลุ่มผู้ที่ต้องการบริโภคเค้กที่มีไขมันไม่มาก และรสชาติที่ไม่เลี่ยนจนเกินไปและด้วยเอกลักษณ์ประจำตัว นั่นก็คือความนุ่มละมุนละไมอีกทั้งสามารถดัดแปลงรสชาติได้มากและหลากหลาย ทั้งยังขายง่ายต้นทุนต่ำได้กำไรสูง จึงทำให้มีผู้สนใจในการประกอบกิจการเพื่อผลิตและจำหน่ายชิฟฟอนเค้ก หรือ ชีฟองเค้กเป็นจำนวนมาก
4. เค้กไข่ขาว (angle food cake) ใช้ไข่ขาวล้วน ไม่ใส่ไข่แดงและไขมันใด ๆ แต่ใส่น้ำตาลมาก
5. สปันจ์เค้ก (sponge cake) เป็นเค้กที่ตีไข่ทั้งฟองกับน้ำตาลให้ขึ้นฟู
6. มูสเค้ก (Mousse cake) เป็นเค้กที่ตีไข่ขาวหรือวิปปิ้งครีมให้ฟูก่อนจะผสมกับส่วนผสมอื่น ทำให้เค้กนุ่ม เบา มักใส่เจลาตินเพื่อช่วยให้คงรูป และต้องแช่เย็นไว้จนกว่าจะรับประทาน
7. ชีสเค้ก (cheesecake) เป็นเค้กที่มีครีมชีสเป็นองค์ประกอบหลัก มีทั้งแบบอบ และแบบไม่อบแต่ใสเจลาตินเป็นตัวช่วยให้คงรูปร่าง ต้องแช่เย็นเช่นกัน




ที่มา : fifa6886


วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

เลือกยีนส์ให้เหมาะกับรูปร่าง

เลือกยีนส์ให้เหมาะกับรูปร่าง

เลือกยีนส์ให้เหมาะกับรูปร่าง
กางเกงยีนส์ถือเป็น หนึ่งในเสื้อผ้าที่ต้องมีติดตู้กันแทบทุกบ้านกางเกงยีนส์นั้นสามารถสวมใส่ได้ทุกโอกาส สามารถใส่ได้ทุกเพศทุกวัย   แต่ว่าคนเราใช่ว่าทุกคนจะหุ่นเหมือนกันหมดใช่มั้ยเราเลยเอาทริคในการเลือกซื้อกางเกงยีนส์สำหรับสาว ๆ มาฝากกัน
           สาว ๆ ที่มีสะโพกเล็ก ควรใส่กางเกงยีนส์ที่ปลายขอบบานนิดหน่อย เนื่องจาก จะช่วยทำให้คุณดูมีสะโพกและมีส่วนเว้าโค้งเพิ่มมากขึ้น
           และในทางตรงกันข้าม สาว ๆ ที่มีสะโพกดินระเบิด ควรเลือกยีนส์เอวต่ำ ที่มีกระเป๋าหลังด้วย ห้ามใส่ยีนส์เอวสูงเพราะจะยิ่งเน้นช่วงสะโพกของคุณมากขึ้น ส่วนกระเป๋าหลังนั้นจะช่วยดึงความสนใจจากสะโพกของคุณได้ดี
           สาวคนไหนที่มีขาใหญ่ ควรเลือกยีนส์ที่ทรงตรงหรือไซส์ใหญ่กว่าตัวเล็กน้อย (เล็กน้อยนะ ไม่ต้องเยอะ) แม้ว่าคุณอยากจะใส่สกินนี่ขนาดไหนก็อดทนไว้นะคะ เพราะกางเกงทรงนี้จะยิ่งไปช่วยเน้นช่วงขาของคุณมากขึ้นไปอีก
           และสำหรับสาวขาสั้น ให้เลือกยีนส์ทรงตรงหรือทรงกระบอกยาวปิดข้อเท้าที่จะช่วยพรางตาให้คุณดูสูงขึ้น แต่อย่าเลือกแบบที่ขายาวเกินไปนะคะ เพราะมันจะยิ่งตอกย้ำขาที่สั้นขึ้นไปอีก
           แนะนำว่าควรสวมรองเท้าส้นสูงด้วย เพื่อเพิ่มความสูง แถมส้นสูงยังเหมาะกับการใส่กับกางเกงยีนส์มาก ๆ อีกด้วย
           ของแถมเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่าซื้อกางเกงยีนส์ที่มีความยาวมากเกินไป แม้ว่ามันจะสวยแค่ไหนก็ตาม ถึงแม้คุณอาจจะคิดว่าเอาไปตัดขาก็ได้ แต่เมื่อตัดขาไปแล้วมันจะไม่สวยเหมือนเดิมอีก
           และในการใส่กางเกงยีนส์ตัวใหม่ ควรใส่อย่างต่ำ 5 ครั้งก่อนซัก(กรณีที่ไม่ได้ไปบุกป่าฝ่าดงนะคะ)เพื่อให้เนื้อผ้าได้ขยายตัวให้เข้ากับรูปร่างของคุณก่อน
คู่มือที่จะช่วยให้คุณค้นพบกางเกงยีนส์ในฝัน
           1. เลือกซื้อไซส์เล็กกว่าขนาดจริง 1 เบอร์ อย่าเพิ่งคิดว่าจะฟิตเกินไป เพราะเมื่อใส่ไปสักพัก เนื้อผ้าจะขยายออก 10%
           2. ถ้าเจอตัวที่ถูกใจซื้อไว้เลย 2 ตัว ตัวแรกตัดให้พอดีข้อเท้าไว้ใส่กับรองเท้าส้นแบน อีกตัวทิ้งความยาวปลายขาไว้ เพื่อใส่กับรองเท้าส้นสูง
           3. เลือกกางเกงยีนส์แบบซิป เพราะใส่ง่ายและแนบกับสรีระมากกว่าแบบกระดุม
           4. อย่าลืมเอาเข็มขัดไปด้วย เพื่อลองกางเกงพร้อมกับเข็มขัด จะได้รู้ว่าใส่พอดีและเข้ากันดีหรือไม่
           5. นำไปซักก่อนการแก้ไขใดๆ เพราะหลังจากการซักกางเกงยีนส์อาจหดตัว ทำให้ขนาดเปลี่ยนไป
           6. รักษาตะเข็บที่ปลายขาไว้ การตัดขากางเกงแบบต่อปลายตะเข็บเดิม อาจแพงกว่า แต่ก็ช่วยให้กางเกงตัวเก่งของคุณสวยสมบูรณ์แบบ
           7. ซักด้วยน้ำเย็นทุกครั้ง เพราะน้ำอุ่นจะทำให้กางเกงยีนส์หดตัว อย่าลืมกลับด้านก่อนซักเพื่อป้องกันสีซีดจาง
           8. หลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม เพราะสารเคมีอาจทำลายสีของกางเกงให้ซีดจาง
           9. อย่ารีดด้วยความร้อนสูง เพราะความร้อนอาจทำให้เนื้อผ้าหดตัว
          10. ซักแห้งดีที่สุด เพราะช่วยให้สีของกางเกงยีนส์ยังคงเดิมอยู่เสมอ (โดยเฉพาะสีเข้ม)



ที่มา : fifa6886