วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ถังหูลู่…ผลไม้เคลือบน้ำเชื่อม

ถังหูลู่…ผลไม้เคลือบน้ำเชื่อม

ถังหูลู่…ผลไม้เคลือบน้ำเชื่อม
เพื่อนๆหลายคนที่เคย ไปท่องเที่ยวที่ประเทศจีน ก็ดี ดูซีรี่ย์จีน ก็ดี มักจะเห็นผลไม้ลูกสีแดงๆ เสียบไม้ ขายอยู่เรียงรายตามท้องถนน บางครั้งเราก็อยากลิ้มลองรสชาติของมันนัก แต่ก็ไม่มีโอกาสซักที
ถังหูลู่ (Tang Hu Lu) หรือ ถังหูหลุ เป็นของกินขึ้นชื่อของเมืองจีน โดยเฉพาะในปักกิ่ง คือการนำ พุทราเชื่อม มาเคลือบน้ำตาล มีรสชาติออกหวานอมเปรี้ยว สีแดง เสียบไม้ไผ่ยาวประมาณ 20 ซ.ม. นิยมทานมากในช่วงฤดูหนาว ถนนทุกสายของเมืองหลวงจีน จะต้องมีถังหูลู่ขายอยู่ตลอดทาง ไม่ว่าจะหาบเร่ จะแบกมัดฟาง หรือ เสียบอยู่บนท่อพลาสติก ก็มีทั้งนั้น โดยที่ราคาก็จะเริ่มต้นที่ 1 หยวน จนถึง 5 หยวน หรือราวๆ 5-25 บาท ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับชนิดของถังหูลู่ที่เราเลือก
ถังหูลู่ ในภาษาจีนแปลว่า น้ำเต้าเคลือบน้ำตาล แต่เดิมเขาจะใช้ ซานจา แค่ 2 ลูก มาเสียบไม้ โดยเสียบให้ลูกเล็กอยู่ด้านบน ส่วนลูกใหญ่อยู่ข้างล่าง ทำให้รูปร่างคล้ายน้ำเต้า จึงเรียกชนมชนิดนี้ว่า ถังหูลู่ ภายหลัง มีการเพิ่มจำนวนของถังหูลู่ ขึ้นเป็น 4-8 ลูก ในปัจจุบัน มีการนำผลไม้ชนิดอื่นเข้ามาดัดแปลง ให้มีความหลายหลากมากขึ้น เช่น สตอเบอร์รี่ สับปะรด แคนตาลูป องุ่น และ ส้ม
ตามความเชื่อของชาวปักกิ่ง ถังหูลู่ ถือเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นสิริมงคล และ เป็นพระเอกของงานวัด ที่จัดขึ้นในช่วง เทศกาลตรุษจีน ในเมืองปักกิ่ง อีกด้วย คนส่วนใหญ่มักจะซื้อ แต่ไม่กิน จะนำกลับบ้านเพื่อเป็นของสิริมงคลแทน โดยเชื่อว่า ถังหูลู่ จะนำ โชคดี โชคลาภ และความมั่งคั่ง มาสู่ครอบครัวในวันปีใหม่
ส่วนเรื่อง ต้นกำเนิดของ ถังหูลู่ ว่ากันว่า ในปี ค.ศ. 960-1279 สมัยราชวงศ์ซ่ง หรือ ซ้อง ภายใต้การปกครองของฮ่องเต้กวงจง (ค.ศ.1147-1200) พระสนมคนโปรดของจักรพรรดิ์กวงจง ไม่สบาย ทานข้าวไม่ลง หน้าตาซีดเซียว ร่างกายผ่ายผอม และเบื่ออาหาร หมอหลวงพยายามแสวงหายาหายากสารพัดอย่างมารักษา แต่ก็ไร้ประโยชน์ แล้ววันหนึ่งก็มีหมอคนหนึ่งจากนอกวัง ถวายตำรับยาว่า ให้ใช้น้ำตาลกรวดต้ม กับ ผลไม้ชนิดหนึ่งที่ออกรสเปรี้ยวชื่อว่า ซานจา ก่อนอาหารแต่ละมื้อ ให้รับประทานประมาณ 5- 10 ผล ครึ่งเดือนผ่านไป อาการไม่สบายของสนมเอกองค์นี้ก็หายเป็นปลิดทิ้ง ต่อมา ตำรับยาดังกล่าวเผยแพร่ไปสู่ชาวบ้าน ชาวบ้านจึงเอาไม้เสียบซานจา แล้วจิ้มน้ำตาลกรวดที่ต้มจนเดือด เมื่อน้ำตาลกรวดเย็นลงก็จับตัวแข็งกรอบ ๆ ใสเหมือนแก้ว นั่นก็คือ ปิงถังหูลู่ ในปัจจุบัน
เหตุผลที่หมอชาวบ้านคนนั้นให้ใช้ ซานจา เนื่องจาก ซานจา หรือ พุทรา นั้นมีคุณสมบัติ ช่วยแก้อาการอาหารไม่ย่อย แก้โรคบิด บรรเทาอาการเลือดคั่ง ขับพยาธิเส้นด้าย แต่สรรพคุณที่โดนเด่นที่สุด คือ ช่วยย่อย นั่นเอง





ที่มา : fifa6886


ขนมสัมปันนี...ขนมแห่งความคิดถึง

ขนมสัมปันนี...ขนมแห่งความคิดถึง

ขนมสัมปันนี...ขนมแห่งความคิดถึง
เป็นที่รู้โดยทั่วกันว่า ในสมัยพระนารายณ์ มหาราช นั้น มีหญิงชาว โปรตุเกส ผู้หนึ่ง ที่มีบทบาทในเรื่องของ การทำขนมไทยเป็นอย่างมาก นั่นก็คือ ท้าวทองกีบม้า ภรรยาของเจ้าพระยาวิชเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) ที่ได้รับการยกย่อง ให้เป็นราชินีแห่งขนมไทย ท่านได้สร้างสรรค์ผลงานมากมายทิ้งไว้ให้แก่ชนรุ่นหลัง ซึ่งหนึ่งในนั้น ก็มีเมนู ขนมไทยโบราณ นามว่า ขนมสัมปันนี รวมอยู่ด้วย เพื่อเป็นการอนุรักษ์ขนมไทยไม่ให้หายไป พวกเราไปทำความรู้จักกับ ขนมสัมปันนี ด้วยกันนะ
ขนมสัมปันนี หรือ ขนมสัมปะนี เป็นขนมที่ทำจาก แป้งมันคั่ว แล้วนวดผสมกับน้ำกะทิ และ น้ำตาลทราย เนื้อขนมจะจะละลายในปากมีรสหวานและ หอมกลิ่นควันเทียนอบขนม กรอบนอกนุ่มใน รูปร่างคล้ายดอกไม้มีสีสันสวยงาม ปัจจุบันมี ขนมสัมปันนีมี 2 แบบ คือแบบแห้งและแบบเปียก แบบแห้งจะใช้แป้งมันสำปะหลัง นำไปคั่วให้สุกก่อนนำมาทำขนม ส่วนแบบเปียก จะใช้แป้งข้าวเจ้าที่ไม่ต้องคั่ว
ขนมสัมปันนี ถือได้ว่าเป็นขนมที่มีประวัติอันยาวนาน และ เป็นขนมมงคล นิยมใช้ในพิธีแต่งงาน ต้นกำเนิดมาพร้อมกับขนมตระกูลทองทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ตั้งแต่สมัย อยุธยา ในรัชสมัยของ สมเด็จพระนารายณ์ มหาราช ในปี 2662 หลักฐานทางประวัติศาสตร์ของต้นกำเนิดขนมสัมปันนี ได้ปรากฏในบันทึกของ อเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน ชาวตะวันตกอีกผู้หนึ่งที่บันทึกการเดินทางเกี่ยวกับเรื่องของ ท้าวทองกีบม้า ว่า
“ข้าพเจ้าได้เห็นท่านผู้หญิงของฟอลคอนในปี พ.ศ.2262 เวลานี้ท่านได้รับเกียรติเป็นต้นห้องเครื่องหวานของพระเจ้าแผ่นดิน ท่านเกิดในกรุงสยามในตระกุลอันมีเกียรติ และในเวลานั้นท่านเป็นที่ยกย่องนับถือแก่คนทั่วไป...
ท่านท้าวทองกีบม้าผู้นี้ เป็นต้นการสั่งสอนให้ชาวสยามทำของหวาน คือ ขนมทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมทองโปร่ง ทองพลุ ขนมผิง ขนมฝรั่ง ขนมผิง ขนมไข่เต่า ขนมทองม้วน ขนมสัมปันนี ขนมหม้อแกง เป็นต้นเหตุเดิมที่ท้าวทองกีบม้าทำและสอนให้ชาวสยาม ”
จะเห็นได้จากในข้อความนี้ ว่ามีชื่อของ ขนมสัมปันนี อยู่ด้วย นอกจากนี้ ขนมสัมปันนี ยังมีความหมายว่า “อันเป็นที่รัก” อีกด้วย เพราะผู้ที่ทานเข้าไป จะรู้สึกถึงกลิ่นหอม และ ความหวาน ที่ละลาย อย่างช้าๆภายในปาก แสดงถึงความคิดรัก ความคิดถึง และ ห่วงใย สมัยก่อน ฝ่ายผู้หญิง จะทำอาไว้ให้แก่ฝ่ายชาย ยามที่ต้องออกไปรบเพื่อปกป้องบ้านเมือง เอาไว้กินระหว่างทาง ให้หายคิดถึง





ที่มา : fifa6886


วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ขนมดอกบัว...ขนมสิริมงคล

ขนมดอกบัว...ขนมสิริมงคล

 

ขนมดอกบัว...ขนมสิริมงคล
เมื่อได้ยินครั้งแรกก็รู้สึกแปลกใจ กับ คำว่า “ขนมดอกบัว” บอกตามตรงค่ะ ว่านึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าหน้าตา รูปร่าง เป็นอย่างไร เรียกว่าแทบจะไม่รู้จักเสียด้วยซ้ำ ในใจก็คิดว่า เป็นขนมที่มีส่วนผสมของดอกบัวหรืออย่างไร
ขนมดอกบัว หรือ ขนมฝักบัว เป็นขนมโบราณ มีลักษณะ เป็นแผ่นกลม รูปร่างคล้ายฝักบัว แป้งนุ่ม ขอบขนมหยักอย่างสม่ำเสมอโดยรอบ และ กระดกขึ้นมา ตรงกลางนูน และ นุ่ม รสชาติหวาน ด้านล่างของขนมเป็นใย เหมือนสายบัว เมื่อฉีกขนมออก ภายในจะเป็นโพรงจากก้นมาถึงด้านหน้ามีลักษณะเช่นเดียวกับฝักบัวจริงๆ สูตรดั้งเดิม จะใช้ แป้งข้าวเจ้า น้ำตาลปี๊บ หรือ น้ำตาลมะพร้าว และ กะทิ ปัจจุบันมีการดัดแปลงโดยใส่น้ำใบเตยแทนน้ำเปล่า ทำให้เป็นสีเขียว สวย น่ารับประทาน
ดั้งเดิมเป็นขนมพื้นเมืองโบราณของคนปักษ์ใต้ โดยดัดแปลงมาจาก การทำขนมในเทศกาลเดือนสิบ ที่ชื่อว่าขนมรังนก คนปักษ์ใต้ จะเรียกขนมฝักบัวว่า ขนมจูจุ่น หรือ จู้จุ่น ส่วนเด็กๆ มักจะเรียกว่า ดือจุ่น หรือ สะดือจุ่น เพราะลักษณะขนมที่พองตรงกลาง เหมือนสะดือจุ่น นั่นเองค่ะ ขนมชนิดนี้นับเป็นขนมที่เกิดจากภูมิปัญญาชาวบ้าน ของบรรพบุรุษของเรา ซึ่งในปัจจุบันก็หาทานได้ยากซะแล้วค่ะ นิยมใช้ในเทศกาลทำบุญ พิธีแต่งงาน และ งานพิธีต่างๆ เนื่องจาก ขนมฝักบัว มีความหมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง ความก้าวหน้า และโชคลาภ




ที่มา : fifa6886

กระยาสารท...ขนมไทยแด่ผู้ล่วงลับ

กระยาสารท...ขนมไทยแด่ผู้ล่วงลับ

กระยาสารท...ขนมไทยแด่ผู้ล่วงลับ
ตั้งแต่เด็ก พวกเราทุกคนน่าจะเคยได้ยินคำว่า เทศกาลกระยาสารท หรือ ขนมกระยาสารท แต่ก็ไม่เคยรู้ที่มาที่ไปจริงๆเสียทีว่า ขนมชนิดนี้คืออะไร รู้เพียงแต่เป็นขนมที่มีความหวาน และ เหนียว ทานเพลินดี แต่แค่การทานอร่อยคงไม่เพียงพอ เพราะถ้าเราเรียนรู้เรื่องราวของเขา เราจะเข้าใจวัฒนธรรมของประเทศเรา ว่าต้องผ่านเหตุการณ์อะไรมาบ้าง ถือเป็นการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ และ วิถีชีวิต ของคนสมัยก่อน ผ่านทางอาหารนั่นเอง
กระยาสารท เป็นขนมไทยโบราณ ทำจาก ถั่ว งา ข้าวคั่ว และ น้ำตาล บางท้องถิ่นนิยมทานกับกล้วยไข่ ขนมชนิดนี้จะทำขึ้นในวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 ถือได้ว่าเป็นขนมที่มี วัน เวลา และ เทศกาล เป็นของตัวเอง
กระยาสารท เป็นขนมโบราณตั้งแต่สมัยสุโขทัย รากศัพท์ของคำว่า “สารท” มาจากภาษาอินเดีย แปลว่า “ฤดูใบไม้ร่วง” หรือ ช่วงปลายฝนต้นหนาว เป็นเวลาเดียวกับช่วงที่พืชพันธุ์ ผลิดอกออกผล คนโบราณจึงถือกันว่า ควรนำผลผลิตเหล่านั้นถวายแก่เทวดา และ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเป็นการสักการะบูชา และ ขอพรให้พืชของตนออกดอกออกผลดี
ประเพณีนี้เกิดในแถบประเทศจีน และ ยุโรปตอนเหนือ เช่นเดียวกัน ส่วนประเทศไทย ได้รับอิทธิพลมาจากประเพณีของประเทศอินเดีย เป็นช่วงเวลาที่ข้าวเริ่มออกรวง ชาวบ้านจึงเก็บเปลือกอ่อนๆ และ เมล็ดยังไม่แก่ นำมาคั่วและตำให้เมล็ดข้าวแบนๆ และเรียกว่า ข้าวเม่าแทน
ตำนานความเชื่อของกระยาสารทมีอยู่ด้วยกัน 2 ตำรา คือ ...
ตำราหนึ่งกล่าวว่า มีพี่น้องอยู่สองคนชื่อ มหากาลผู้พี่ และจุลกาลผู้น้อง ทั้งสองทำการเกษตรกรรมร่วมกันคือ ปลูกข้าวสาลีบนที่ผืนเดียวกัน จุลกาลนั้นเห็นว่าข้าวสาลีที่กำลังท้องนั้นมีรสหวานอร่อย ก็เลยอยากนำข้าวนั้นไปถวายแด่พระสงฆ์ จึงปรึกษากับมหากาลพี่ชาย แต่มหากาลไม่เห็นด้วย มหากาลจึงแบ่งที่ดินออกเป็น 2 ส่วน เพื่อให้ต่างคนต่างนำข้าวไปใช้กิจอันใดก็ได้ จุลกาลจึงนำเมล็ดข้าวที่กำลังตั้งท้องมาผ่า แล้วต้มกับน้ำนมสด ใส่เนยใส น้ำผึ้ง น้ำตาลทรายกรวด เมื่อเสร็จแล้วจึงนำไปถวายแด่พระสงฆ์ เมื่อถวายภัตตาหารเหล่านี้แด่พระสงฆ์ จุลกาลได้ทูลความปราถนาของตนกับพระพุทธเจ้าว่า ขอให้ตนบรรลุธรรมวิเศษก่อนใคร และเมื่อกลับบ้านไป ก็พบว่านาข้าวสาลีของตนนั้นออกรวงอุดมสมบูรณ์สวยงาม จนเก็บเกี่ยวไป 9 ครั้งก็ยังอุดมสมบูรณ์อยู่อย่างนั้นตลอดไป
ส่วนอีกตำราหนึ่งเล่าว่า สมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยู่ในกรุงราชคฤห์ มีเปรตตนหนึ่งปลอมตัวเป็นพระสงฆ์เข้าเฝ้าพระเจ้าอชาตศัตรู เปรตตนนั้นได้เผยความจริงว่า ตนเคยเป็นพระสงฆ์แต่มีความโลภจึงต้องชดใช้กรรมเป็นเปรต แล้วเปรตตนนั้นก็ขอให้พระองค์พระราชทานกระยาสารท ซึ่งปรุงแต่งด้วยของ 7 อย่าง ได้แก่ น้ำตาล น้ำผึ้ง ถั่ว งา ข้าวตอก ข้าวเม่า น้ำนมวัว เพื่อประทังความหิวโหย ดังนั้นในวันรุ่งขึ้นตรงซึ่งกับวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 พระเจ้าอชาตศัตรูจึงทำขนมกระยาสารทแล้วกรวดน้ำอุทิศให้แก่เปรตตามที่ขอไว้ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเมื่อถึงวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 ซึ่งตรงกับเดือนกันยายน ชาวบ้านจะกวนกระยาสารทมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว จนกลายเป็นประเพณีสารทไทย หรือเทศกาลกวนขนมกระยาสารทจนถึงทุกวันนี้นั่นเอง





ที่มา : fifa6886


Nut roll… ขนมแดนยุโรป

Nut roll… ขนมแดนยุโรป

Nut roll… ขนมแดนยุโรป
หากใครที่เป็นคนที่ชอบท่องเที่ยวเดินทางไปทั่วโลกแล้วล่ะก็ เห็นทีจะไม่สนใจเมนูนี้ไม่ได้แล้ว นั่นก็เพราะว่า เมนูที่เรา จะมาแนะนำให้เพื่อนๆได้รู้จักกันในวันนี้ เป็นที่แพร่หลายกันมากในแถบทวีปยุโรป และ อเมริกา ถ้าเพื่อนๆไปเที่ยวแล้วไม่รู้จักขนมชนิดนี้ ก็คงจะไม่ดีใช่ไหมละ ดังนั้น วันนี้เราไปทำความรู้จักกับ Nut roll…ขนมแดนยุโรป กันดีกว่า
Nut roll หรือ ถั่วม้วน เป็นขนมปังที่สามารถหาทานได้ใน ประเทศสหรัฐอเมริกา ยุโรปตอนกลาง และ ยุโรปตะวันออก มีส่วนประกอบด้วย แป้งยีสต์หวาน (ปกติจะใช้นม) และ รีดแป้งแผ่ออกมาให้บาง ทาด้วยถั่วที่ทำจากถั่วบด และ สารให้ความหวาน เช่น น้ำผึ้ง ปั้นเป็นรูปทรงขอนไม้ยาว อบแล้วหั่นเป็นชิ้นๆ
Nut roll มีความคล้ายกับ jelly roll หรือ Swiss roll แต่ Nut roll จะมีปริมาณเนื้อแป้ง และ ไส้ที่มากกว่า ส่วนเนื้อแป้งมีความละเอียดน้อยกว่า ไส้จะทำจาก วอลนัท และ งาดำ เป็นหลัก
ขนมปัง nut roll เป็นที่รู้จักกันดีในหลายภูมิภาค และ มีชื่อแตกต่างกันออกไป เช่น
- ชาวสโลเวเนีย เรียกว่า gubana guban'ca หรือ potica
- ประเทศ สโลวาเกีย เรียกว่า orechovník
- ประเทศ โปแลนด์ เรียกว่า makowiec
- ประเทศ โครเอเชีย และ เซอร์เบีย เรียกว่า povitica, gibanica, orahnjača/orehnjača
- ประเทศ ฮังการี เรียกว่า kalács และ bejgli
- ประเทศ ตุรกี เรียกว่า pastiç (pastiche) หรือ nokul
ความสำคัญของขนมปังชนิดนี้อยู่ที่ ในทุกๆเทศกาลสำคัญ เช่น งานแต่งงาน เทศกาลอีสเตอร์ เทศเทศกาลคริสต์มาส และ งานเฉลิมฉลองวันหยุดต่างๆ Nut roll จะต้องเป็นส่วนหนึ่งของงานเสมอ




ที่มา : fifa6886


Dadar gulung…แพนเค้กอินโด

Dadar gulung…แพนเค้กอินโด




Dadar gulung…แพนเค้กอินโด
Dadar gulung เป็นขนมชนิดหนึ่งคล้ายแพนเค้ก นำมาม้วนใส่ไส้มะพร้าว หอม หวานด้วย กลิ่นใบเตยอ่อนๆ สีเขียวสวยน่ารับประทาน เป็นขนมที่นิยมมากที่สุดในประเทศอินโดนีเซีย โดยเฉพาะ Java
Dadar ในภาษาอินโดนีเซีย แปลว่า แพนเค้ก และ gulung แปลว่า ม้วน ขนมชนิดนี้มักเป็นแพนเค้กสีเขียว ซึ่งทำมาจากใบเตย (Pandan) เป็นพืชตระกูลหญ้าเขตร้อนที่มีใบสีเขียวยาว ซึ่งสามารถพบได้ทั่วประเทศอินโดนีเซีย มีกลิ่นหอมมากและมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ สามารถนำไปใช้กับขนมหวาน ขนมเค้ก และ เครื่องดื่มมากมาย ในอินโดนีเซีย หรือ สามารถซื้อได้ในร้านสะดวกซื้อ บางครั้ง นอกจากนำใบเตยมาทำอาหารและขนมแล้ว ยังนำมาคั้นและผสมน้ำเปล่า เพื่อนำไประบายสีได้อีกด้วย
ในประเทศมาเลเซีย และ บรูไน จะรู้จัก และ เรียก Dadar gulung ว่า kuih gulung, kuih ketayap และ kuih lenggang ประเทศศรีลังกา เรียกว่า surul appam และ ประเทศสิงคโปร์ เรียกว่า kuih dadar เห็นไหมละคะว่า นอกจากจะโด่งดังในบ้านเกิดตัวเองแล้ว ยังได้รับความนิยมจากประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย ถ้าใครไปประเทศไหน ก็อย่าลืมเรียกให้ถูกด้วย




ที่มา : fifa6886

เค้ก

เค้ก

เค้ก
เป็นอาหารชนิดหนึ่งที่มักจะมีลักษณะหวานและผ่านกระบวนการอบ ซึ่งจะทำมาจากแป้งสาลี, น้ำตาลเทียม และส่วนประกอบอื่น ๆ เช่น ไข่, แป้งสาลี, ผัก, ผลไม้ที่ให้รสหวานหรือเปรี้ยว เป็นต้น หรือส่วนประกอบที่มีไขมัน เช่น เนย, ชีส, ยีสต์, นม, เนยเทียม เป็นต้น และนิยมรับประทานเป็นของหวาน และฉลองในเทศกาลต่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันเกิดและวันแต่งงาน ซึ่งในโลกมีตำรับหรือสูตรการทำเค้กเป็นจำนวนมาก อีกทั้งตำรับการทำเค้กบางสูตรก็มีการสืบทอดการทำเป็นเวลาหลายศตวรรษ และเค้กนั้นยังเป็นอาหารหวานที่นิยมไปทั่วโลกอีกด้วย ปัจจุบันมีผู้สนใจที่อยากจะเรียนทำเค้กเพื่อจุดประสงค์ต่าง ๆ มากมาย อย่างเช่น เรียนเพื่อที่จะนำมาประกอบอาชีพเปิดร้านเค้ก เป็นต้น
ชนิดของเค้ก
เค้กแบ่งได้เป็นหลายประเภท ดังนี้
1. เค้กเนย (butter cake) ส่วนผสมหลักที่ทำให้ขึ้นฟูคือเนย โดยจะตีเนยกับน้ำตาลให้เป็นครีมฟูก่อน จึงเติมไข่ นม และแป้ง แบ่งย่อยได้อีกหลายชนิด เช่น เค้กชั้น ฟรุตเค้ก และเค้กปอนด์ ซึ่งหมายถึง เค้กที่ทำจากแป้งสาลีหนึ่งปอนด์ น้ำตาลหนึ่งปอนด์และ เนยหนึ่งปอนด์
2. เค้กไข่ (foam cake) เป็นเค้กที่ขึ้นฟูโดยตีฟองอากาศเข้าไปในไข่ แบ่งย่อยเป็น 3 ชนิดคือ
3. ชิฟฟอนเค้ก (chiffon cake) ชิฟฟอนเค้ก หรือ ชีฟองเค้ก ปัจจุบันเป็นที่นิยมกันมากในกลุ่มผู้ที่ต้องการบริโภคเค้กที่มีไขมันไม่มาก และรสชาติที่ไม่เลี่ยนจนเกินไปและด้วยเอกลักษณ์ประจำตัว นั่นก็คือความนุ่มละมุนละไมอีกทั้งสามารถดัดแปลงรสชาติได้มากและหลากหลาย ทั้งยังขายง่ายต้นทุนต่ำได้กำไรสูง จึงทำให้มีผู้สนใจในการประกอบกิจการเพื่อผลิตและจำหน่ายชิฟฟอนเค้ก หรือ ชีฟองเค้กเป็นจำนวนมาก
4. เค้กไข่ขาว (angle food cake) ใช้ไข่ขาวล้วน ไม่ใส่ไข่แดงและไขมันใด ๆ แต่ใส่น้ำตาลมาก
5. สปันจ์เค้ก (sponge cake) เป็นเค้กที่ตีไข่ทั้งฟองกับน้ำตาลให้ขึ้นฟู
6. มูสเค้ก (Mousse cake) เป็นเค้กที่ตีไข่ขาวหรือวิปปิ้งครีมให้ฟูก่อนจะผสมกับส่วนผสมอื่น ทำให้เค้กนุ่ม เบา มักใส่เจลาตินเพื่อช่วยให้คงรูป และต้องแช่เย็นไว้จนกว่าจะรับประทาน
7. ชีสเค้ก (cheesecake) เป็นเค้กที่มีครีมชีสเป็นองค์ประกอบหลัก มีทั้งแบบอบ และแบบไม่อบแต่ใสเจลาตินเป็นตัวช่วยให้คงรูปร่าง ต้องแช่เย็นเช่นกัน




ที่มา : fifa6886


วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

เลือกยีนส์ให้เหมาะกับรูปร่าง

เลือกยีนส์ให้เหมาะกับรูปร่าง

เลือกยีนส์ให้เหมาะกับรูปร่าง
กางเกงยีนส์ถือเป็น หนึ่งในเสื้อผ้าที่ต้องมีติดตู้กันแทบทุกบ้านกางเกงยีนส์นั้นสามารถสวมใส่ได้ทุกโอกาส สามารถใส่ได้ทุกเพศทุกวัย   แต่ว่าคนเราใช่ว่าทุกคนจะหุ่นเหมือนกันหมดใช่มั้ยเราเลยเอาทริคในการเลือกซื้อกางเกงยีนส์สำหรับสาว ๆ มาฝากกัน
           สาว ๆ ที่มีสะโพกเล็ก ควรใส่กางเกงยีนส์ที่ปลายขอบบานนิดหน่อย เนื่องจาก จะช่วยทำให้คุณดูมีสะโพกและมีส่วนเว้าโค้งเพิ่มมากขึ้น
           และในทางตรงกันข้าม สาว ๆ ที่มีสะโพกดินระเบิด ควรเลือกยีนส์เอวต่ำ ที่มีกระเป๋าหลังด้วย ห้ามใส่ยีนส์เอวสูงเพราะจะยิ่งเน้นช่วงสะโพกของคุณมากขึ้น ส่วนกระเป๋าหลังนั้นจะช่วยดึงความสนใจจากสะโพกของคุณได้ดี
           สาวคนไหนที่มีขาใหญ่ ควรเลือกยีนส์ที่ทรงตรงหรือไซส์ใหญ่กว่าตัวเล็กน้อย (เล็กน้อยนะ ไม่ต้องเยอะ) แม้ว่าคุณอยากจะใส่สกินนี่ขนาดไหนก็อดทนไว้นะคะ เพราะกางเกงทรงนี้จะยิ่งไปช่วยเน้นช่วงขาของคุณมากขึ้นไปอีก
           และสำหรับสาวขาสั้น ให้เลือกยีนส์ทรงตรงหรือทรงกระบอกยาวปิดข้อเท้าที่จะช่วยพรางตาให้คุณดูสูงขึ้น แต่อย่าเลือกแบบที่ขายาวเกินไปนะคะ เพราะมันจะยิ่งตอกย้ำขาที่สั้นขึ้นไปอีก
           แนะนำว่าควรสวมรองเท้าส้นสูงด้วย เพื่อเพิ่มความสูง แถมส้นสูงยังเหมาะกับการใส่กับกางเกงยีนส์มาก ๆ อีกด้วย
           ของแถมเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่าซื้อกางเกงยีนส์ที่มีความยาวมากเกินไป แม้ว่ามันจะสวยแค่ไหนก็ตาม ถึงแม้คุณอาจจะคิดว่าเอาไปตัดขาก็ได้ แต่เมื่อตัดขาไปแล้วมันจะไม่สวยเหมือนเดิมอีก
           และในการใส่กางเกงยีนส์ตัวใหม่ ควรใส่อย่างต่ำ 5 ครั้งก่อนซัก(กรณีที่ไม่ได้ไปบุกป่าฝ่าดงนะคะ)เพื่อให้เนื้อผ้าได้ขยายตัวให้เข้ากับรูปร่างของคุณก่อน
คู่มือที่จะช่วยให้คุณค้นพบกางเกงยีนส์ในฝัน
           1. เลือกซื้อไซส์เล็กกว่าขนาดจริง 1 เบอร์ อย่าเพิ่งคิดว่าจะฟิตเกินไป เพราะเมื่อใส่ไปสักพัก เนื้อผ้าจะขยายออก 10%
           2. ถ้าเจอตัวที่ถูกใจซื้อไว้เลย 2 ตัว ตัวแรกตัดให้พอดีข้อเท้าไว้ใส่กับรองเท้าส้นแบน อีกตัวทิ้งความยาวปลายขาไว้ เพื่อใส่กับรองเท้าส้นสูง
           3. เลือกกางเกงยีนส์แบบซิป เพราะใส่ง่ายและแนบกับสรีระมากกว่าแบบกระดุม
           4. อย่าลืมเอาเข็มขัดไปด้วย เพื่อลองกางเกงพร้อมกับเข็มขัด จะได้รู้ว่าใส่พอดีและเข้ากันดีหรือไม่
           5. นำไปซักก่อนการแก้ไขใดๆ เพราะหลังจากการซักกางเกงยีนส์อาจหดตัว ทำให้ขนาดเปลี่ยนไป
           6. รักษาตะเข็บที่ปลายขาไว้ การตัดขากางเกงแบบต่อปลายตะเข็บเดิม อาจแพงกว่า แต่ก็ช่วยให้กางเกงตัวเก่งของคุณสวยสมบูรณ์แบบ
           7. ซักด้วยน้ำเย็นทุกครั้ง เพราะน้ำอุ่นจะทำให้กางเกงยีนส์หดตัว อย่าลืมกลับด้านก่อนซักเพื่อป้องกันสีซีดจาง
           8. หลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม เพราะสารเคมีอาจทำลายสีของกางเกงให้ซีดจาง
           9. อย่ารีดด้วยความร้อนสูง เพราะความร้อนอาจทำให้เนื้อผ้าหดตัว
          10. ซักแห้งดีที่สุด เพราะช่วยให้สีของกางเกงยีนส์ยังคงเดิมอยู่เสมอ (โดยเฉพาะสีเข้ม)



ที่มา : fifa6886


ไฟลต์แจ็กเก็ต flight jacket

ไฟลต์แจ็กเก็ต flight jacket

ไฟลต์แจ็กเก็ต flight jacket
แจ็คเก็ตการบิน
              ไฟลต์แจ็กเกต (อังกฤษ: flight jacket) หรือ บอมเมอร์แจ็กเกต (อังกฤษ: bomber jacket) เป็นเครื่องแต่งกายที่สร้างมาจากชุดนักบินสิ่งที่สำคัญที่สุดได้กลายมาเป็นวัฒนธรรมและการแต่งตัว ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ส่วนมากเครื่องบินจะไม่มีที่ปิดห้องคนขับเครื่องบิน เสื้อผ้าเป็นสิ่งสำคัญของคนขับเครื่องบินสามารถเก็บความอบอุ่นได้อย่างเพียงพอ ในขณะที่ข้าราชการในประเทศฝรั่งเศสและเบลเยียม กลุ่มนักบินยอดเยี่ยมได้เกิดขึ้นแล้วการสวมเสื้อคลุมหนังฟอกยาวในปี 1915 และได้รับความนิยมดีขั้น กองทัพสหรัฐแสดงให้เห็นถึงเสื้อผ้าเป็นศิลปะศาสตร์แห่งการบิน ในเดือนกันยายน 1917 และเริ่มแจกจ่ายเสื้อแจ็กเกตการบินหนังฟอกมีความทนทาน ปลอกคอที่พันรอบร่างกาย ปิดซิป กับปีกกันลม ข้อมือและเอวอบอุ่น ตะเข็บและซับในมีความนุ่มและหนา เสื้อแจ็กเก็ตนักบินสหรัฐอเมริกาได้ถูกเกิดขึ้นจนถึงทุกวันนี้
ประวัติ
              เลสลี เออร์วิน (Leslie Irvin) เป็นคนแรกที่ออกแบบและเป็นผู้ผลิตเสื้อแจ็กเกตหนังแกะ แบบดั้งเดิม ในปี 1926 เขาได้สร้างโรงงานผลิตเสื้อในสหราชอาณาจักร และได้เป็นผู้จัดหาเสื้อไฟลต์แจ็กเกตให้กับกลุ่มนักบินยอดเยี่ยม (Royal Air Force) ส่วนมากอยู่ในช่วง สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างไรก็ตามความต้องการในปีแรกระหว่างสงครามนั้น กลุ่มของเออร์วินเป็นผู้ว่าจ้างรับเหมานั้น เป็นสิ่งสำคัญ สิ่งนั้นได้อธิบายเล็กน้อย การเปลี่ยนแปลงในเรื่องการออกแบบ และ สี นั้นได้พิจารณาไว้ตั้งแต่แรก ในการผลิดเสื้อไฟลต์แจ็กเกต เพราะว่าเครื่องบินก้าวหน้าไปอีกขั้น ระยะทางในการบินสูง ความเร็วสูง และอุณหภูมิเย็นกว่าปกติ ส่วนมากการโจมตีด้วยระเบิดที่หนักส่วนมากจะอยู่ในทวียุโรปในระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ใช้สถานที่นี้จากระยะทางอย่างด้วยความสูง 25,000 ฟุต ซึ่งได้ถึง 50 องศาเซลเซียส (หรืออุณหภูมิ -58 ฟาเรนไฮต์) เครื่องบินจะไม่ปกคลุมด้วยฉนวน และดังนั้นห้องคนขับเครื่องบินมีอุณหภูมิที่อบอุ่น สิ่งที่จำเป็นคือ เสื้อแจ็กเกตการบิน
             ส่วนมากเสื้อแจ็กเกตการบินแห่งสหรัฐอเมริกาที่รู้จักกันดีมีสองชื่อคือเสื้อแจ็กเกต A-2 และ G-1 แม้ว่าโดยทั่วไป พลเอกเฮนรี เอช. อาร์โนลด์ (Gen. Henry H. Arnold) ได้ถูกยกเลิกสร้าง A-2 12 ปีต่อมาหลังจากนั้น เพราะว่าความต้องการ "บางสิ่งที่ดีกว่า" (something better) เสื้อแจ็กเกตส่วนมากยังคงจดจำและเป็นที่ต้องการ เสื้อแจ็กเกตการบินสหรัฐอเมริกาหลังจากนั้น G-1 ถูกออกแบบโดยกองทัพเรือสหรัฐ มีความคล้ายคลึงกับทหารอากาศ A-2 ล่าสุดจนกระทั่ง 1978 เมื่อรัฐสภามีบังคับยกเลิกเพราะว่าเป็นความนิยมอย่างยิ่งต่อผู้มอบอำนาจและจัดหาระบบ ไม่เพียงเท่านั้นประโยชน์ของเสื้อแจ็กเกต สิ่งเหล่านี้ข้าราชการเป็นผู้สวมใส่ แต่ความนิยมทั้งหมดกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของความซื่อตรง การผจญภัย และความนิยม ภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่องทอปกัน (Top Gun) เป็นการส่งเสิรมการขาย เสื้อ G-1 เป็นอย่างยิ่ง ครั้งหนึ่งที่ทำให้เป็นนักสะสมเสื้อแจ็กเกตและแฟชั่นทั้งหมด
             เสื้อแจ็กเกตการบินที่นำสมัย อย่างไรก็ตามไม่มีข้อจำกัดไปถึงเสื้อ A-2 และ G-1 การตัดเสื้อแจ็กเกตแบบดั้งเดิมจะใช้หนังขนสัตว์มาเป็นส่วนประกอบในการทำเสื้อท่มีความละเอียดนุ่มหนาและมีความอบอุ่น แม้แต่หนังขนสัตว์มีความละเอียดนุ่มและหนาขนปุยจะถูกแทนที่ เสื้อคลุมตัวนี้มีความอบอุ่นเพื่อเก็บรักษาไว้ เจ. เอ. มักรีดี (J. A. MacReady) บุคคลมีความอบอุ่นที่สุดในโลกที่บันทึกไว้ในปี 1921 ในขณะที่เขานั่งบนห้องขับเครื่องบินไปในระยะทาง 40,000 ฟุต ความนิยมของการตัดเสื้อแจ็กเกตได้ขยายมาจากเสื้อรุ่น B-3 เสื้อบอมบ์เบอร์แจ็กเกต รุ่น M-445 เสื้อแจ็กเกตเป็นที่ยอมรับในการตัดเสื้อ และเป็นที่นิยมมากในวงการทหาร อีกด้วย ยังคงเป็นเสื้อแจ็กเกตแบบสังเคราะห์ เสื้อแจ็กเกตเหล่านี้มีความรพต่อผลประโยชน์หลังจากพลเอกแฮป อาร์โนลด์ (Hap Arnold) ก็ถูกปฏิเสธไม่ใส่เสื้อแจ็กเกตรุ่น A-2 ในปี ค.ศ. 1942 รูปแบบของเสื้อเป็นผ้าฝ้ายลายทแยงชุด B ทำให้ได้มาตรฐานเสื้อแจ็กเกตเป็นของกองทัพเรือ ชุด CWU (ซีดับเบิลยูยู) เป็นเสื้อแจ็กเกตแบบสังเคราะห์ ที่ตัดมาเพื่อสวมใส่ และรวมไปถึงวันนี้หนังสีเหลืองอ่อนเป็นสีประจำกองทัพ แต่ก็ไม่ได้รับสถานะเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเสื้อแจ็กเกต รุ่น A-2 หรือ รุ่น G-1
          โดยปกติเสื้อแจ็กเกตการบิน มีความคล้ายคลึงกับ เสื้อ MA-1 เสื้อแจ็กเกตทหารสหรัฐ ซึ่งถูกค้นพบส่วนมากจะเป็นสีดำหรือสีเขียวอ่อน ชุดทหารทำจากโนเม็กซ์ (Nomex หรือเรียกกันอีกอย่างว่าชุดกันไฟ) อย่างไรก็ตาม โดยปรกติชุดการบินทำมาจากผ้าไนลอน โดยปกติชั้นในบุของเสื้อจะมีสีส้มอินเดีย กระเป๋าเสื้อเอนมีฝากกระเป๋าทั้ง 2 ข้าง ทั้งขางในและข้างนอก และกระเป๋าซิปกับมีที่ใส่ปากกาอยู่แขนเสื้อด้านซ้าย
พลเรือน
        แจ็กเกตการบินรู้จักกันแพร่หลายได้แก่ กลุ่มสกินเฮดและสกูตเตอร์บอย ในปี 1993 มักจะสวมใส่เป็นเครื่องแต่งกายแห่งชาติในช่วงการประชุมเอเปกที่ซีแอตเทิล รัฐวอชิงตันในปีนั้น ล่าสุดปี ค.ศ. 2000 เป็นต้นมา เสื้อไฟลต์แจ็กเกตเป็นแฟชั่นของชาวฮิปฮอปจนถึงทุกวันนี้



ที่มา : fifa6886


เบสบอลแจ็คเก็ต (Baseball Jacket)

เบสบอลแจ็คเก็ต (Baseball Jacket)

เบสบอลแจ็คเก็ต (Baseball Jacket)
เบสบอลแจ็คเก็ต (Baseball Jacket) มีอีกชื่ออย่างเป็นทางการว่า วาร์ซิตี้ แจ็คเก็ต (Varsity Jacket) หรือ เลตเทอร์แมน แจ็คเก็ต (Letterman Jacket) แรกเริ่มเดิมที แจ็คเก็ตแบบนี้มีต้นกำเนิดมาจากการเป็นเสื้อประจำทีมหรือสโมสรของนักเรียนไฮสคูลในอเมริกาและแคนาดา
 ส่วนใหญ่สีเสื้อจะมาจากสีประจำสโมสรหรือทีม และจะมีการปักตัวอักษรหรือตัวเลขตรงหน้าอกด้านซ้าย เรียกว่า Varsity letter หรือ Monogram ซึ่งจะมีดีไซน์แตกต่างกันออกไปตามแต่ละโรงเรียนจะกำหนด ทั้งนี้ตัวอักษรที่ว่าไม่ได้มีไว้เก๋ๆ อย่างเดียว แต่เป็นการแสดงความภูมิใจว่าได้เป็นตัวแทนของโรงเรียน
นอกจาก Patch หรือ Varsity letter ตรงหน้าอกแล้ว เอกลักษณ์ของวาร์ซิตี้แจ็คเก็ต ยังอยู่ที่การจั๊มช่วงเอว คอและข้อมือด้วยผ้ายืดหยุ่นลายขวางสลับสี อีกอย่าง คือ เน้นการใช้กระดุมแทนซิป
สำหรับเหตุที่ในภายหลัง เรามักเรียกเสื้อแจ็คเก็ตชนิดนี้ว่า เบสบอลแจ็คเก็ต มาจากการที่เราเห็นนักกีฬาเบสบอลใส่เสื้อแบบนี้จนชินตา ซึ่งสำหรับคนไทยส่วนใหญ่จะเห็นมาจากหนังหรือการ์ตูนญี่ปุ่น  เพราะชาวญี่ปุ่นชอบเบสบอลกันมากและพวกเราก็ได้รับอิทธิพลจากชาวญี่ปุ่นมามากเช่นกัน
ในเวลาต่อมา วาร์ซิตี้ แจ็คเก็ต กลายเป็นไอเทมสไตล์ฮิปฮ็อป และถูกปรับ ประยุกต์ดีไซน์ไปตามยุคสมัย จากของแท้ดั้งเดิมที่มักจะใช้ผ้าขนสัตว์ ก็เริ่มมีการใช้ผ้าร่ม ผ้าฝ้าย ที่ใส่สบายขึ้นและเหมาะกับสภาพอากาศทางภูมิภาคเอเชียของเรา แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความเป็นเอกลักษณ์ไม่เสื่อมคลาย อีกนัยหนึ่ง วาร์ซิตี้ แจ็คเก็ตมักถูกเรียกว่าเป็นแจ็คเก็ตสไตล์โอลด์สคูล (Old school) และเป็นไอเทมที่คงความนิยมมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
ด้วยความที่แจ็คเก็ตแบบนี้มีสไตล์ที่เรียบง่าย ใส่กับอะไรก็ดูเข้ากันได้ มันเลยอยู่ยงคงกระพันคู่โลกแฟชั่นมาหลายยุค นานๆไปก็มีการดัดแปลงรูปแบบกันบ้าง แต่  ที่คลาสสิคตลอดกาล จะมีลักษณะคือ
Varsity Jacket ที่คลาสสิคตลอดกาล จะมีลักษณะคือ
1. ส่วนเอว คอ ข้อมือ เป็นแถบผ้ายืดหยุ่น มักเป็นลายขวางสองสีสลับกัน
2. กลางลำตัวจากคอจนถึงขอบเอว มักเป็นกระดุม ไม่ใช่ซิป
3. มีสัญลักษณ์ (Patch) อาจจะเป็นรูปโลโก้ ตัวเลข หรือตัวอักษรภาษาอังกฤษแปะพองาม
4. คอเสื้อเป็นแถบยืดธรรมดา คอเสื้อแบบมีหมวก (Hood) หรือปกสูท



ที่มา : fifa6886


เคล็ดลับการเลือกซื้อแว่นกันแดด

เคล็ดลับการเลือกซื้อแว่นกันแดด

เคล็ดลับการเลือกซื้อแว่นกันแดด
แว่นกันแดดจะช่วยกรองแสงให้ดวงตารู้สึกสบายขึ้น และปกป้องดวงตาจากอันตรายของแสงแดดจ้าได้ การเลือกซื้อแว่นกันแดด จึงควรดูที่ฉลาก CE ที่กำกับแว่นว่าสามารถป้องกันรังสี UVA และ UVB ได้หรือไม่ เพราะรังสีอุลตร้าไวโอเล็ตทั้งสองชนิดนี้ต่างก็ทำลายนัยน์ตา UVB นั้นจะดูดซึมที่แก้วตา แต่ถ้ารับแสงจ้านานเกินควร อาจจะทะลุไปที่จอรับภาพได้ ส่วน UVA จะดูดซึมเข้าไปได้ลึกกว่า ดังนั้นการเลือกแว่นกันแดดคุณภาพดี จึงเปรียบเสมือนทาครีมกันแดดชั้นดี ให้แก่ดวงตา
          รูปทรงของแว่น
แว่นกันแดดที่มีขนาดใหญ่ทรงโค้งมน จะปกปิดดวงตาได้ดีทีเดียว แว่นกันแดดที่มีขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียวแต่ไม่โค้งมนจะทำให้ดวงตาสัมผัสต่อ แสงมากเป็น 3 เท่าของแว่นทรงโค้งมนเลยทีเดียว นอกจากนี้แว่นกันแดดทรงโค้งมนจะไม่ตกหล่นง่ายเวลาใส่อีกด้วย
          สีของเลนส์
แว่นกันแดดสำหรับกีฬาส่วนใหญ่จะป้องกันรังส CVB ได้ 99 % และป้องกันรังสี UVAได้ 60 % แต่ก็อย่าเพิ่งแน่ใจ ควรจะตรวจสอบจากฉลากอีกทีหนึ่ง สำหรับสีของเลนส์นั้น สีเลนส์ที่ดีและเหมาะที่จะใช้คือสีเทา-ดำ และเขียว-ดำ หากอยู่บริเวณชายหาด สีเลนส์ที่เหมาะจะใช้คือสีชา-น้ำตาล หรือเทา ส่วนเลนส์สีเหลืองไม่เหมาะจะใส่เวลาขับรถ เพราะมันจะทำให้เห็นสีไฟจราจรไม่ชัดเจนระหว่างไฟแดง และไฟเขียวได้
          ความพอดีของเลนส์กับขอบแว่น
เมื่อเลือกแบบแว่นกันแดดได้แล้ว ก็ควรจะดูว่าขอบของเลนส์ฟิตพอดีกับแว่นหรือไม่ โดยการลองใส่แล้วเดินไป-มาขึ้น-ลงบันได ให้แน่ใจว่ามันจะไม่เลื่อนหลุดออกมาจากตัวแว่นจริง ๆ หรือจะใช้วิธีจับแว่นตาไว้ แล้วดูในแนวตั้งและแนวนอนว่าขอบเลนส์ออกมานอกกรอบแว่นหรือไม่



ที่มา : fifa6886


วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

อาหารกระจกสะท้อนวิถีวัฒนธรรมไทย 4 ภาค

อาหารกระจกสะท้อนวิถีวัฒนธรรมไทย 4 ภาค

อาหารกระจกสะท้อนวิถีวัฒนธรรมไทย 4 ภาค
ในแต่ละภูมิภาคของเรานั้น ต่างก็มีปัจจัยในการหล่อหลอมวัฒนธรรมอาหารที่แตกต่าง ก่อเกิดเป็นความหลากหลายทางด้านอาหาร ในดินแดนทอง อู่น้ำอู่ข้าวของไทยเรานั้นเองค่ะ โดยในวันนี้เราจะพาทุกคนได้ไปสัมผัสในความแตกต่าง ของวิถีชีวิต ของความเป็นไทยในแต่ละภาค
ภาคกลาง
             เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของภาคกลางเป็นที่ราบลุ่ม มีแม่น้ำหลายสายไหลผ่าน ข้าวปลาอาหารจึงอุดมสมบูรณ์เกือบตลอดทั้งปี รวมทั้งมีพืชผัก ผลไม้นานาชนิดนั้นเองค่ะซึ่งด้วยเหตุนี้ จึงทำให้อาหารของภาคกลางจึงมีความหลากหลาย โดยรสชาติของอาหารภาคกลางนั้นจะไม่เน้นไปทางรสใดรสหนึ่งโดยเฉพาะ คือมีทั้งรสเค็ม เผ็ด เปรี้ยว และหวานคลุกเคล้าไปตามชนิดต่างๆของอาหาร นอกจากนี้มักมีการใช้เครื่องปรุงแต่งกลิ่นรส เช่น เครื่องเทศ และมักใช้กะทิเป็นส่วนประกอบของอาหาร อาหารภาคกลางเป็นอาหารที่มักจะมีเครื่องเคียงของแนมร่วมรับประทานด้วย เช่น น้ำพริกลงเรือ แนมด้วยหมูหวาน น้ำปลาหวานทานกับสะเดา เป็นต้น
จุดเด่นคือ อาหารภาคกลางมักจะมีการประดิษฐ์ สร้างสรรค์อย่างวิจิตรบรรจง ผัก และผลไม้มีการแกะสลักอย่างสวยงาม แสดงให้เห็นถึงความเป็นเอกลักษณ์ของอาหารไทยที่มีศิลปะและวัฒนธรรมที่งดงาม
ภาคใต้
            สำหรับภาคใต้ ดินแดนอีกแห่งแห่งวิถีท้องทะเลนั้น เนื่องจากเป็นภูมิภาค ที่มีพื้นที่ติดชายฝั่งทะเล ลักษณะภูมิประเทศเป็นแหลมยื่นลงไปในทะเล ประชากรส่วนใหญ่จึงนิยมทำประมง ด้วยเหตุนี้อาหารหลักของภาคใต้จึงเป็นอาหารทะเลสด และนิยมใช้เครื่องเทศในการปรุงอาหาร รสชาติจะเผ็ดร้อน เค็มและเปรี้ยว เช่น แกงไตปลา แกงส้ม และแกงเหลือง และอาหารใต้ส่วนใหญ่ก็จะนิยมทานควบคู่กับผักเพื่อช่วยลดความเผ็ดร้อนลง ซึ่งเรียกว่า สะตอ ผักเหนาะ เช่น มะเขือเปราะ ถั่วฝักยาว ถั่วพู สะตอเป็นต้น



ที่มา : fifa6886th


มือถือเปียกให้แช่ถังข้าวสาร ได้ผลจริงหรือแค่ความเชื่อผิด ๆ

มือถือเปียกให้แช่ถังข้าวสาร ได้ผลจริงหรือแค่ความเชื่อผิด ๆ

มือถือเปียกให้แช่ถังข้าวสาร ได้ผลจริงหรือแค่ความเชื่อผิด ๆ
การนำมือถือที่เปียกน้ำไปแช่ถังข้าวสารนั้น จัดว่าเป็นวิธียอดฮิตอันดับหนึ่งที่ใครต่อใครต่างทำกันมายาวนาน เพราะเชื่อว่าข้าวสารจะช่วยดูดซับความชิ้นออกจากภายในตัวเครื่องมือถือได้ แต่บางทีนั่นอาจจะเป็นความเชื่อที่เราเข้าใจกันแบบผิด ๆ มาตลอดก็ได้ และยิ่งไปกว่านั้นมันยังอาจก่อให้เกิดผลเสียกับมือถืออีกด้วย
ทางเว็บไซต์ iFixit ได้ออกมาเปิดเผยว่า การนำมือถือเปียกน้ำไปแช่ถังข้าวสารนั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงความเชื่อผิด ๆ ที่หลายคนคิดกันไปเองว่ามันช่วยดูดความชื้นออกจากมือถือได้ แต่ความจริงแล้วมันไม่ได้ช่วยอะไรเลยแม้แต่น้อย ซึ่งเหตุผลที่หลายคนนำมือถือเปียกไปแช่ในข้าวสารแล้วสามารถกลับมาเปิดใช้งานได้ปกตินั้น แท้จริงแล้วเป็นแค่ความโชคดีเท่านั้น เพราะถึงแม้จะวางเอาไว้ข้างนอกเฉย ๆ มันก็ให้ผลไม่ต่างกันเลย นั่นคือถ้าโชคดีก็เปิดติด แต่ถ้าโชคไม่ดีก็ต้องส่งศูนย์ซ่อมอยู่ดี แม้ว่าจะนำไปแช่ในข้าวสารแล้วก็ตาม
ยิ่งไปกว่านั้นคือ นอกจากวิธีดังกล่าวจะไม่ช่วยอะไรแล้ว มันยังอาจก่อให้เกิดผลเสียตามมาอีกก็คือ เศษเมล็ดข้าวสารเล็ก ๆ อาจเข้าไปตามช่องและพอร์ตต่าง ๆ ของมือถือ และอาจเข้าไปค้างอยู่ในตัวเครื่อง ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาได้อีก ทั้งนี้ทาง iFixit ได้แนะนำว่า วิธีที่ดีที่สุดเมื่อทำมือถือเปียกน้ำก็คือ ให้รีบปิดเครื่อง แล้วแกะเครื่อง ถอดแบตเตอรี่ เพื่อเช็ดภายในเครื่องให้แห้งให้เร็วที่สุด แต่สำหรับผู้ที่ไม่เชี่ยวชาญก็ไม่ควรแกะเครื่องเอง รวมทั้งเครื่องที่ยังอยู่ในช่วงรับประกัน ควรรีบนำไปส่งศูนย์ซ่อมจะดีกว่า และไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรนำไปแช่ในถังข้าวสาร เพราะว่ามันไม่ช่วยอะไรเลย



ที่มา : fifa6886th


น้ำอัดลม เครื่องดื่มยอดนิยม

น้ำอัดลม เครื่องดื่มยอดนิยม

น้ำอัดลม เครื่องดื่มยอดนิยม
น้ำอัดลม เครื่องดื่มยอดนิยม
น้ำอัดลม" หรือที่รู้จักกันดีว่า "น้ำขวด" จัดได้ว่าเป็นเครื่องดื่มที่ไม่ว่าเด็ก หรือผู้ใหญ่ก็ชื่นชอบด้วยกันทั้งนั้น ในปัจจุบันนี้มีให้เลือกดื่มหลากหลายรสชาติ
ยิ่งในช่วงที่อากาศร้อน ๆ ด้วยแล้ว ถ้าได้ดื่มน้ำอัดลมเย็น ๆ สักขวดคงพอเรียกความสดชื่นกลับคืนมาได้ แต่ก็มีบางคนที่ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำ จนแทบจะดื่มแทนน้ำเปล่ากันเลย แล้วคุณที่ชอบดื่มน้ำอัดลมรู้หรือเปล่าคะว่า น้ำอัดลมมีอยู่กี่ประเภท
น้ำอัดลมมีอยู่ 2 ประเภทคือ ประเภทเติมคาเฟอีน เช่น โคล่า ซึ่งแบ่งย่อยไปอีกเป็นชนิดที่ใช้น้ำตาลเป็นสารให้ความหวาน และชนิดที่ใช้สารทดแทนความหวาน เช่น แอสปาเทม แบบนี้จะเรียกกันว่าน้ำอัดลมประเภทไดเอ็ท คนอ้วนที่ต้องการควบคุมน้ำหนักมักจะซื้อแบบหลังนี้มาดื่ม
น้ำอัดลมอีกประเภทคือไม่มีคาเฟอีน ได้แก่พวกน้ำอัดลมที่มีสีใส และเติมหัวเชื้อกลิ่นน้ำผลไม้ต่าง ๆ ที่ได้จากการสังเคราะห์
การดื่มน้ำอัดลมบ่อย ๆ ไม่ค่อยจะมีประโยชน์ต่อร่างกายเท่าไหร่นัก ถึงแม้ว่าในน้ำอัดลม จะมีน้ำตาลอยู่เพียงประมาณร้อยละ 10 แต่ถ้าคุณดื่มกันทุกวัน หรือดื่มทุกมื้ออาหาร ก็ทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลมากโดยไม่จำเป็น
อีกทั้งก๊าซที่บรรจุลงในขวดน้ำอัดลม ก็ทำให้เกิดอาการแน่นท้องหรือท้องอืด แถมกรดคาร์บอนิคที่เกิดในน้ำอัดลมจะเข้าไปกัดกร่อนเคลือบฟัน ทำให้ฟันผุได้ ขณะที่คาเฟอีนที่มีอยู่ในน้ำอัดลมบางชนิดจะไปกระตุ้นสมอง อาจทำให้ผู้ดื่ม (ที่ค่อนข้างไวต่อคาเฟอีน) เกิดใจสั่นและหวดศีรษะได้


ที่มา : fifa6886th


โทษของการดื่มน้ำอัดลมมีอะไรบ้าง

โทษของการดื่มน้ำอัดลมมีอะไรบ้าง

โทษของการดื่มน้ำอัดลมมีอะไรบ้าง
ใครชอบดื่มน้ำอัดลมบ้าง ครับ ระวังให้ดีนะ การดื่มน้ำอัดลมมากๆ จะทำให้เป็นโทษต่อร่างกาย  เวลาไปตามงานต่างๆ มักจะเจอน้ำอัดลมเยอะแยะ ตั้งอยู่ รู้หรือไม่ว่า ถ้าดื่มมากเกินไป ดื่มบ่อยๆ จะมีโทษต่อร่างกายเช่นกัน สำหรับคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารควรหลีกเลี่ยงครับ ถ้าดื่มไป อาการที่เป็นอยู่จะออกอาการทันที
โทษของน้ำอัดลม
น้ำอัดลม เป็นเครื่องดื่มที่ใครๆ ก็ชอบดื่ม ไม่ว่าจะเป็นเด็กผู้ใหญ่ นับว่าเป็นเครื่องดื่มที่ยอดฮิต อีกอย่างหนึ่งก็ว่าได้  แต่การดื่มน้ำอัดลมนั้นเป็นโทษต่อร่างกายได้ ไม่ว่าจะเป็น โรคมะเร็ง หรือโรคเบาหวาน  ขอจำแนกออกเป็นดังนี้
มะเร็งปากมดลูก
เป็นที่ทราบกันดีว่า น้ำอัดลมนั้นมีน้ำตาล เป็นจำนวนมาก  เมื่อดื่มเข้าไปมากๆ จึงทำให้อ้วน ความอ้วนเป็นบ่อเกิดของโรคต่างๆ เช่น เบาหวาน และนำพาไปสู่โรคมะเร็งชนิดหนึ่ง ซึ่งส่วนมากจะเป็นในผู้หญิงในวัยที่หมดประจำเดือนแล้ว เมื่อดื่มน้ำอัดลมมากๆ โอกาสเสี่ยงต่อโรคมะเร็งปากมดลูกชนิดที่ 1 มีสูง โดยเริ่มต้นจากชนิดที่1 ไปสู่ชนิดที่2   ควรระวังนะครับ เรื่องการดื่มน้ำอัดลม
มะเร็งเต้านม
สำหรับเด็กผู้หญิง ที่ดื่มน้ำอัดลมมากๆ มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเต้านม จากการที่ดื่มน้ำอัดลมเพียง 1.5 กระป๋องต่อวัน จึงทำให้เด็กผู้หญิงโตเป็นสาวเร็วกว่าปกติ จากการวิจัยพบว่าเด็กผู้หญิง ที่มีอายุ ระหว่าง 9-14 ปี  จำนวน  5 พันกว่า มีอัตราการดื่มน้ำอัดลมมาก กว่า 1.5 กระป๋องต่อวัน ทำให้มีประจำเดือนเร็วขึ้น  2.7 เดือน มีการเทียบกับเด็กที่ดื่มน้ำอัดลม 2 กระป๋อง ต่อสัปดาห์ เพราะในน้ำอัดลมนั้นมีน้ำตาลเยอะ จึงทำให้อ้วนขึ้น จึงทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านม
มะเร็งต่อมลูกหมาก
สำหรับผู้ชายที่ดื่มน้ำอัดลมก็มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมลุกหมาก เช่นเดียวกัน  โดย จะมีสารชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า 4-MEI หรือ 4-methylimidazole ซึ่งมีการวิจัยพบว่าสารชนิดนี้ก่อให้เกิดมะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ชายได้
มะเร็งตับอ่อน
จากการวิจัยพบว่า คนที่ชอบดื่มน้ำอักลม 2 แก้วต่อสัปดาห์ มีโอกาสเสี่ยงต่อโรคมะเร็งตับอ่อน ได้ถึง 87 % เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ดื่มน้ำอัดลม คนเป็นเป็นมะเร็งส่วนมากล้วนมีสาเหตุมาจากการดื่มน้ำอัดลมทั้งสิ้น
จะเห็นได้ว่าการดื่มน้ำอัดลมนั้น มีแต่โทษที่รุนแรงทั้งนั้น เป็นบ่อเกิดของโรคต่างๆ คิดแล้วไม่คุ้มเลยครับ เพียงแค่ดื่มให้ร่างกายมีความกระชุ่มกระชวย เป็นครั้งคราว เมื่อได้รู้อย่างนี้แล้วไม่ควรดื่ม สำหรับท่านใดที่ชอบดื่มก็ขอให้ลดจำนวนการดื่มลงบ้าง เด็กผู้หญิงถ้าจะให้ดีไม่ควรดื่ม เป็นอย่างยิ่ง เพื่อสุขภาพที่ดี และไม่ต้องเสี่ยงกับโรคร้ายอีกต่อไป



ที่มา : fifa6886th